ประเทศอังกฤษได้รับการยอมรับในเรื่องของระบบการศึกษาที่มีคุณภาพทั้งยังมีสถาบันที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ระดับโลกหลายแห่ง ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ผู้มีความฝันอยากเรียนต่อต่างประเทศตั้งเป้าหมายในการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นตัวเลือกยอดนิยมและมีสถาบันมากมายให้ตัดสินใจสมัครเรียน ความท้าทายที่คุณต้องเผชิญคือการเลือกมหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์สำหรับคุณ ซึ่งในบางครั้งมันอาจยากหากมีข้อมูลไม่เพียงพอ
เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราขอเสนอรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในอังกฤษจากการรวบรวมข้อมูลของเว็บไซต์ Go Overseas ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาทั้งปัจจัยต่างๆ หลักสูตรที่เปิดสอน ทำเลที่ตั้ง และอื่นๆ จนได้รายชื่อดังต่อไปนี้
ดีที่สุดสำหรับคนรักประวัติศาสตร์ : Oxford University
ที่ตั้ง : Oxford
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 36,606 – 51,292 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.2 – 1.7 ล้านบาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 924 ดอลลาร์ (ประมาณ 31,100 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
Oxford University ติด Top 10 ของสถาบันที่ดีที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน โดยติดอันดับที่ 2 ของโลกในการจัดอันดับของ QS ประจำปี 2022 และอันดับที่ 1 โดย Times Higher Education 2022
สถาบันนี้มีชื่อเสียงมานานทั้งในเรื่องของความเก่าแก่และเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตชั้นยอดซึ่งมีผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 55 คน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ 28 คน และนักกีฬาโอลิมปิก 120 คนเลยทีเดียว
ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาศิลปะ : Kingston University
ที่ตั้ง : ลอนดอน
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 18,231 – 21,250 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 614,800 – 716,600 บาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 1,136 ดอลลาร์ (ประมาณ 38,300 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
Kingston University เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการศึกษา วิทยาเขตมีขนาดกะทัดรัดและมีที่พักหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีทุนการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีและการสนับสนุนอื่นๆ อีกมากมายสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
ในการจัดอันดับของ The Guardians 2022 สถาบันนี้ติดอันดับที่ 50 ของสถาบันจากทั่วโลก โดยจุดเด่นของ Kingston University คือการมุ่งเน้นเฉพาะด้านศิลปะและงานฝีมือระดับมืออาชีพ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักศึกษาที่สนใจในด้านการออกแบบ ภาพประกอบ และแอนิเมชั่น
ดีที่สุดสำหรับแฟนฟุตบอล : University of Manchester
ที่ตั้ง : แมนเชสเตอร์
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 26,342 – 61,903 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 888,300 – 2 ล้านบาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 901 ดอลลาร์ (ประมาณ 30,380 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
แมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ และเป็นที่รู้จักจากทีมฟุตบอล ตลอดจนสถาปัตยกรรมและดนตรี ที่นี่เป็นบ้านเกิดของทีมฟุตบอลระดับโลกอย่าง Manchester United และ Manchester City นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าภาพในพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลแห่งชาติ ซึ่งเปิดให้นักเรียนเข้าชมได้ฟรี
University of Manchester มุ่งมั่นที่จะต้อนรับนักศึกษาต่างชาติและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่ง ไม่ว่าคุณจะเริ่มเรียนที่แมนเชสเตอร์ในฐานะแฟนฟุตบอลหรือไม่แต่คุณก็จะได้ซึมซับความหลงใหลและความรักที่มีต่อกีฬาทั่วทั้งเมืองอย่างแน่นอน
ดีที่สุดสำหรับชั้นเรียนขนาดเล็ก : University College London
ที่ตั้ง : ลอนดอน
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 42,273 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.4 ล้านบาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 1,136 ดอลลาร์ (ประมาณ 38,300 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
UCL ตั้งอยู่ใน Bloomsbury ของลอนดอน ซึ่งเป็นย่านที่สวยงามใกล้กับ Regent’s Park และ British Museum ติดอันดับที่ 8 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย QS ปี 2022 และมีโครงการวิจัยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักร
UCL เป็นที่รู้จักในนาม ‘มหาวิทยาลัยระดับโลกของลอนดอน’ เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักศึกษาต่างชาติ มีชื่อเสียงในเรื่องของชั้นเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนเฉลี่ย 9 คนต่อครู 1 คน หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การศึกษาในหัวข้อระดับนานาชาติ
ดีที่สุดสำหรับเรียนต่อหลังจบบัณฑิตศึกษา : University of Southampton
ที่ตั้ง : เซาแธมป์ตัน
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 25,475 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 859,100 บาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 830 ดอลลาร์ (ประมาณ 28,000 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
University of Southampton ตั้งอยู่ในเมืองที่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ยอดเยี่ยม ทำให้ง่ายต่อการเดินทางและมีกิจกรรมให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเปนฟุตบอล ดนตรีสด และงานศิลปะที่เฟื่องฟู
นักศึกษาต่างชาติกว่า 34% ที่ลงทะเบียนเรียนที่นี่มีสิทธิได้รับคำแนะนำด้านอาชีพเป็นเวลาสามปีหลังจากสำเร็จการศึกษา โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยลัยและสถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั่วโลก
ดีที่สุดสำหรับความยั่งยืนและความก้าวหน้าทางสังคม : Bristol University
ที่ตั้ง : บริสตอล
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 24,420 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 822,500 บาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 914 ดอลลาร์ (ประมาณ 90,800 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
บริสตอลเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในสหราชอาณาจักรที่ต้อนรับผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย ทั้งยังเป็นสถาบันแรกที่มีหลักสูตรการละครในสหราชอาณาจักร
ด้วยความที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริสตอล เมืองที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ บาร์ พิพิธภัณฑ์ และร้านค้ามากมายทำให้นักศึกษาสามารถผ่อนคลายจากการเรียนและเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ทั่วเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สนใจในประเด็นทางการการเมือง การต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ หรืออื่นๆ
มหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุด : University of Buckingham
ที่ตั้ง : บัคกิงแฮม
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : ไม่ระบุ
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 986 ดอลลาร์ (ประมาณ 33,250 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
University of Buckingham เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่มี Royal Charter และมีนักศึกษาเพียง 1,000 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีตัวแทนประมาณ 90 สัญชาติ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของนักเรียนมาจากต่างประเทศ
ที่นี่เป็นสถาบันที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าสถาบันส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร แต่ในทางกลับกันก็เป็นสถาบันที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านไอที การสร้างสภาพแวดล้อมทางวิชาการที่ทันสมัย และมีหลักสูตรให้เลือกเรียนอย่างหลากหลายตั้งแต่ กฎหมาย มนุษยศาสตร์ ภาษา ธุรกิจ ไปจนถึงการแพทย์ โดยมีการเปิดสอนหลักสูตรเร่งรัดระยะเวลา 2 ปี ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการศึกษาได้
มหาวิทยาลัยนานาชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุด : University of Nottingham
ที่ตั้ง : บัคกิงแฮม
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ย : 26,410 – 34,993 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 890,600 – 1.1 ล้านบาท)
ค่าครองชีพเฉลี่ย : 853 ดอลลาร์ (ประมาณ 28,700 บาท) + ค่าเช่าต่างๆ
สถาบันแห่งนี้มีวิทยาเขตในสหราชอาณาจักรแบ่งออกเป็นสี่วิทยาเขตหลัก โดยมีรสบัสฟรีสำหรับรับส่งนักศึกษาแต่ละพื้นที่ ตั้งอยู่ในมิดแลนด์ ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี และริมฝั่งแม่น้ำเทรนต์ซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างยิ่ง
University of Nottingham ให้ความสำคัญกับความเป็นสากลในทุกสาขาวิชาทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ เป็นสถาบันวิจัยที่มีคุณภาพอย่างมากในสหราชอาณาจักร หนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อคือการรับรางวัลโนเบลของศิษย์เก่าเซอร์ ปีเตอร์ แมนส์ฟิลด์ สาขาการแพทย์สำหรับการทำงานเกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI)
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว อังกฤษยังมีความสะดวกที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตและการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมที่ยอดเยี่ยมซึ่งช่วยให้คุณเดินทางได้ทั่วเมืองแม้ไม่มีรถเป็นของตัวเอง ทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายสามารถเดินทางไปทั่วยุโรปได้ รวมไปถึงประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม เมืองที่มีความเป็นสากล และทิวทัศน์ที่สวยงามซึ่งจะช่วยให้คุณได้มีช่วงเวลาปละประสบการณ์แสนพิเศษนอกห้องเรียนอีกด้วย
สำหรับใครที่มีความฝันอยากเรียนต่อต่างประเทศ และยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเรียนที่ไหนดี หวังว่าบทความนี้จะช่วยเพิ่มตัวเลือกในการตัดสินใจให้กับคุณได้ :D
ที่มา: gooverseas